โรคพาร์กินสัน - สาเหตุ อาการ และการดูแลที่คุณต้องรู้

Last updated: 6 Nov 2024  |  2551 Views  | 

ฟื้นฟูผู้ป่วย พาร์กินสัน

โรคพาร์กินสัน (Parkinson's Disease) เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ และส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย บทความนี้จะพาท่านไปสำรวจสาเหตุ อาการ วิธีการรักษาและดูแล รวมถึงแนวทางในการปรับตัวเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

โรคพาร์กินสันคืออะไร?

โรคพาร์กินสันเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทในสมองส่วนที่เรียกว่า "ซับสเตนเชียไนกรา" (Substantia Nigra) ซึ่งทำให้สมองขาดสารโดพามีน (Dopamine) สารสื่อประสาทที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย.

เมื่อสมองขาดโดพามีน การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยจะมีความผิดปกติ เช่น การสั่นของมือ การเคลื่อนไหวช้า ความไม่มั่นคงในการทรงตัว และกล้ามเนื้อแข็งตัว ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย.

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคพาร์กินสัน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคพาร์กินสันยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่มีปัจจัยบางอย่างที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค ได้แก่:

  • อายุ: ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรค.
  • พันธุกรรม: มีการพบว่าโรคพาร์กินสันมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในบางกรณี.
  • การสัมผัสสารพิษ: การสัมผัสสารเคมีบางชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค.
  • ปัจจัยอื่นๆ: การบาดเจ็บที่ศีรษะ การติดเชื้อไวรัสบางชนิด และการสูบบุหรี่ก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยง.
    อาการของโรคพาร์กินสัน

อาการของโรคพาร์กินสันมีหลากหลายและอาจเกิดขึ้นอย่างช้าๆ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก:


1. อาการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว:

  • อาการสั่น: ส่วนใหญ่เริ่มจากการสั่นของมือข้างเดียวและอาจลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย.
  • การเคลื่อนไหวช้า (Bradykinesia): ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวช้าและมีความยากลำบากในการเริ่มต้นหรือหยุดการเคลื่อนไหว.
  • กล้ามเนื้อแข็งตึง (Rigidity): ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่ากล้ามเนื้อแข็งตัวหรือมีความตึงเครียด.
  • การทรงตัวไม่มั่นคง (Postural Instability): ผู้ป่วยอาจสูญเสียความมั่นคงในการทรงตัวและมีโอกาสล้มได้ง่าย.

2. อาการอื่นๆ:

  • ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล: ผู้ป่วยพาร์กินสันมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล.
  • การนอนหลับผิดปกติ: ผู้ป่วยอาจมีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป.
  • ปัญหาด้านความจำและการรับรู้: ผู้ป่วยบางคนอาจมีปัญหาในการจำและการคิด.
  • ภาวะท้องผูกและปัสสาวะลำบาก: ระบบย่อยอาหารและระบบปัสสาวะของผู้ป่วยอาจทำงานผิดปกติ.

การรักษาและการดูแลผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน

การรักษาโรคพาร์กินสันมุ่งเน้นที่การบรรเทาอาการและชะลอการเสื่อมสภาพของสมอง รวมถึงการช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การรักษามีหลายวิธี เช่น:

  1. การใช้ยา: ยาที่ช่วยเพิ่มระดับโดพามีนในสมอง เช่น เลโวโดปา (Levodopa) และยาที่ช่วยลดการสั่นและการเคลื่อนไหวช้า.
  2. การรักษาทางกายภาพบำบัด: การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยปรับปรุงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว และการเคลื่อนไหวของร่างกาย.
  3. การผ่าตัด: ในบางกรณีที่อาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือก เช่น การผ่าตัดใส่เครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep Brain Stimulation - DBS).
  4. การดูแลด้านจิตใจ: การสนับสนุนทางด้านจิตใจจากครอบครัวและผู้ดูแลเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยพาร์กินสันรับมือกับอาการและปรับตัวกับชีวิตประจำวัน.

การป้องกันและการปรับตัวในชีวิตประจำวัน

แม้ว่าจะยังไม่มีวิธีป้องกันโรคพาร์กินสันที่ได้ผลแน่นอน แต่การดูแลสุขภาพทั่วไปสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่น:

  • การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายที่เหมาะสมสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความคล่องตัว.
  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์: ควรบริโภคอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารเคมีอันตราย.
  • การจัดการความเครียด: การฝึกโยคะ การทำสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ชอบสามารถช่วยลดความเครียด.

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  and  นโยบายคุกกี้